ผักชีฝรั่ง
ผักชีฝรั่งคืออะไร
ผักชีฝรั่ง (Culantro) เป็นพืชล้มลุกลักษณะคล้ายผักชี (Cilantro) มีถิ่นกำเนิดในทวีปอเมริกาใต้และประเทศเม็กซิโก แต่มีการปลูกเลี้ยงไปทั่วโลก ผักชีฝรั่งมีกลิ่นหอมเฉพาะตัวที่โดดเด่นและสรรพคุณมากมายแตกต่างจากผักชนิดอื่น ๆ เป็นที่ชื่นชอบของใครหลายๆคนนิยมนำมาประกอบอาหาร
ประโยชน์ของผักชีฝรั่ง
ผักชีฝรั่งมีสรรพคุณทางยามากมาย ดังนี้
- ใบและใบอ่อน ใช้เป็นยาแก้ท้องอืด บำรุงกระดูกและฟัน แก้อาการหวัด แก้ท้องเสีย มีสารต้านอนุมูลอิสระหรือต้านการเกิดเซลล์มะเร็ง
- ลำต้น ช่วยลดระดับความดันโลหิต บำรุงผิวพรรณ ใช้เป็นยาถ่าย ขับลม ทำให้เล็บเส้นผมแข็งแรง
- ราก ช่วยขับเหงื่อ แก้ไข้ ขับปัสสาวะ รักษาแผลผุพอง
ผักชีฝรั่งมีสรรพคุณทางการแพทย์ด้วย และ มีการใช้ในการรักษาต่าง ๆ เช่น ใช้เป็นยาแก้ปวด, ยาแก้ไข้, และ ยาบำรุงร่างกาย นอกจากนี้ยังมีคุณสมบัติที่ช่วยในการลดการอักเสบและมีส่วนช่วยในระบบทางเดินอาหารด้วยเช่นกัน
การปลูกผักชีฝรั่ง
การปลูกผักชีฝรั่งมีขั้นตอนพื้นฐานดังนี้
- เลือกที่ปลูกและเตรียมดิน: ค้นหาที่ที่มีแสงแดดเพียงพอ (อย่าน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อวัน) และมีระบบระบายน้ำที่ดี เตรียมดินโดยเติมปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยคอมโพสต์เพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และโครงสร้างดินให้ดี
- การเพาะเมล็ด: คุณสามารถเพาะเมล็ดในแปลงเพาะหรือกะบะเพาะเมล็ดก่อนที่จะย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถางใหญ่กว่า
- การย้ายกล้า: เมื่อต้นกล้ามีใบจริง 2-4 ใบ สามารถย้ายลงแปลงปลูกหรือกระถางใหญ่ได้ ระยะห่างระหว่างต้นควรอยู่ที่ประมาณ 15-20 เซนติเมตร
- การรดน้ำ: รดน้ำให้ความชุ่มชื้น แต่ไม่แฉะ เพื่อให้รากเติบโตดี
- การดูแลรักษา: ให้ปุ๋ยเพื่อส่งเสริมการเจริญเติบโต และตรวจสอบว่าดินยังคงระบายน้ำได้ดี ต้องเก็บแมลงหรือโรคที่อาจเข้ามาทำลายต้นผักชีฝรั่ง
- การเก็บเกี่ยว: ใบผักชีฝรั่งสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อมีจำนวนใบที่เพียงพอในการใช้งาน ควรเก็บใบที่อ่อนและอยู่ที่ด้านนอกเพื่อให้ต้นพืชเจริญเติบโตต่อไป
สำหรับเมืองที่มีอากาศหนาวหรืออากาศร้อนเกินไป การปลูกผักชีฝรั่งในถุงปลูกหรือกระถางเพื่อให้สามารถย้ายต้นไปยังที่ให้แสงแดดเพียงพอหรือป้องกันจากสภาพอากาศที่ไม่เหมาะสม ก็เป็นวิธีที่ดีที่สุดแล้ว
ข้อควรระวังในการรับประทานผักชีฝรั่ง
การรับประทานผักชีฝรั่งและผลกระทบต่อสุขภาพบางคนที่อาจเกิดขึ้นได้ นี่คือข้อควรระวังเพิ่มเติมเมื่อรับประทานผักชีฝรั่ง
- แพ้ผักชีฝรั่ง: อาการแพ้ผักชีฝรั่งอาจเกิดขึ้นกับบางคน ซึ่งอาการสามารถปรากฏในรูปแบบของอาการแพ้อาหารที่เรียกว่า “หวัดแพ้” ที่รวมถึงความคัน ปวดท้อง ท้องเสีย และอาจมีอาการรุนแรงกว่านี้ในกรณีที่เป็นการแพ้รุนแรง
- การรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม: ถ้าคุณมีประวัติการแพ้หรือความไม่สบายในการรับประทานผักชีฝรั่ง ควรรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงของอาการแพ้
- การทดสอบด้วยปริมาณน้อย: หากคุณไม่แน่ใจว่าจะแพ้ผักชีฝรั่งหรือไม่ คุณสามารถทดสอบด้วยการรับประทานปริมาณน้อยๆ เพื่อดูว่ามีอาการแพ้หรือไม่ และหากไม่มีอาการผิดปกติคุณอาจเพิ่มปริมาณเป็นเล็กน้อยเพื่อเริ่มต้น
- ควรปรึกษาแพทย์: หากคุณมีประวัติการแพ้อาหารหรือมีอาการไม่ปกติหลังจากการรับประทานผักชีฝรั่ง ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทางสุขภาพ เพื่อการวินิจฉัยและการจัดการที่ถูกต้อง
ผักชีฝรั่งมีสารออกฤทธิ์บางชนิดที่อาจก่อให้เกิดอาการแพ้ในบางคน เช่น อาการคลื่นไส้ อาเจียน คันตามผิวหนัง เป็นต้น ดังนั้นจึงควรรับประทานผักชีฝรั่งในปริมาณที่พอเหมาะหากคุณพบว่าคุณแพ้ผักชีฝรั่ง คุณสามารถค้นหาสมุนไพรหรือผักอื่นที่มีลักษณะคล้ายผักชีฝรั่งเพื่อใช้เป็นทางเลือกแทน
ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม : veggiesgreen